เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2014 Apple ได้ประกาศเปิดตัว iPhone รุ่นล่าสุดถึง 2 รุ่นด้วยกันคือ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus โดยทั้งสองรุ่นนั้นมาพร้อมกับขนาดหน้าจอที่แตกต่างกัน แต่ Apple เรียกชื่อหน้าจอทั้งสองรุ่นนี้ว่าเป็น Retina HD ทั้งคู่


 หน้าจอ Retina HD retina hd iPhone 6 Plus ที่มีขนาดหน้าจอ IPS ขนาด 5.5 นิ้วนั้นมาพร้อมกับความละเอียดหน้าจอ 1920×1080 พิกเซล ที่ 401ppi โดยรุ่นนี้เป็น iPhone ที่มีความละเอียดหน้าจอแบบ Full HD ตัวแรกนั่นเอง


iPhone 6 นั้นมาพร้อมกับหน้าจอ IPS ขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด 1334×750 พิกเซล ที่ 326 ppi ซีพียูรุ่นใหม่ Apple A8 ขุมพลังภายในของ


 iPhone 6 ทั้งสองรุ่นนั้นใช้ซีพียูตัวใหม่ Apple A8 ซึ่งเป็นซีพียูแบบ 64 บิทรุ่นที่ 2 ของ Apple และมีชิปประมวลผลการเคลื่อนไหวตัวใหม่ M8


 กล้อง iPhone 6 ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับกล้องความละเอียดเท่าเดิมคือ 8 ล้านพิกเซล แต่เปลี่ยนกล้องเป็นตัวใหม่ มีพิกเซลขนาด 1.5 ไมครอน นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับระบบออโต้โฟกัสแบบ Focus Pixels พร้อมรูรับแสง f/2.2 และมีระบบป้องกันภาพสั่นไหว (OIS) ในรุ่น iPhone 6 Plus แฟลชของ iPhone 6 ทั้งสองรุ่นยังเป็นแบบ True Tone และมีผลึกแซฟไฟร์ป้องกันหน้าเลนส์ มาพร้อมคุณสมบัติใหม่ที่สามารถถ่ายภาพพาโนราม่าได้ความละเอียดสูงสุดถึง 43 ล้านพิกเซล นอกจากนี้ยังสามารถบันทึกวีดีโอแบบ Full HD 1080p ได้ และยังถ่ายวีดีโอแบบสโลโมชั่นได้ถึง 240fps apple-iphone-6-designboom08 กล้องหน้าของ iPhone 6 ทั้งสองรุ่นนั้นให้ความละเอียดมาที่ 1.2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้างสุด f/2.2 (เดิม iPhone 5s เปิดรูรับแสงกว้างสุดได้แค่ f/2.4)


จอใหญ่ขึ้น แต่ตัวเครื่องเพรียวบางลง ทั้ง iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ต่างก็บางลงกว่า iPhone 5s โดย iPhone 6 นั้นบางเพียง 6.9 มิลลิเมตร และ iPhone 6 Plus นั้นบางเพียง 7.9 มิลลิเมตรเท่านั้น


การใช้งานแบบแนวนอนบน iPhone 6 ความต่างของ iPhone 6 กับ iPhone 6 Plus นอกจากขนาดหน้าจอแล้ว Apple ยังได้มีการเพิ่มโหมดแนวนอน (Landscape Mode) ไว้บน iPhone 6 Plus ด้วย ช่วยให้การใช้งานตัวเครื่องที่ใหญ่ในแนวนอนได้สะดวกยิ่งขึ้น

ใช้งานมือเดียวได้สะดวกเช่นเคย แม้จอใหญ่ขึ้น iPhone 6 และ iPhone 6 Plus นั้นเพิ่มคำสั่งในการกดปุ่ม Home ติดกันสองครั้งเพื่อร่นหน้าจอลงมาให้สามารถใช้งานได้ด้วยมือเดียวได้อย่างสบายๆ


มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ และ NFC iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ยังคงมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือเช่นเดียวกันกับรุ่นก่อนหน้านี้อย่าง iPhone 5s แต่พ่วงมาด้วย NFC ที่จะมาเปิดมาตรฐานใหม่ของระบบจ่ายเงินผ่านมือถือของ Apple ที่เรียกว่า Apple Pay


อุปกรณ์เสริมของ iPhone 6 เคสซิลิโคนดีไซน์เฉพาะ iPhone 6 ทั้งสองรุ่น iPhone 6 และ iPhone 6 Plus

ราคาและวันวางจำหน่าย iPhone 6 และ iPhone 6 Plus จะเริ่มเปิดให้สั่งจองในวันที่ 12 กันยายน พร้อมกำหนดการวางขายจริงในวันที่ 19 กันยายน โดยในประเทศกลุ่มแรกนั้นไม่มีประเทศไทย สำหรับราคาขายของ iPhone 6 นั้นเริ่มต้นที่รุ่น 16GB ที่ราคา 199 เหรียญ และมีรุ่นความจุ 128GB เพิ่มเข้ามาด้วย (ตัดรุ่น 32GB ทิ้งไปแล้ว เหลือรุ่น 64GB ไว้) ส่วน iPhone 6 Plus นั้นมีราคาเริ่มต้นที่ 299 เหรียญ มีทั้งหมด 3 ความจุเช่นกัน โดยราคาดังกล่าวนั้นเป็นราคาแบบติดสัญญา 2 ปี

ขอบพระคุณข้อมูลจาก

เมื่อช่วงคืนวันที่ 12 กันยายน ที่ผ่านมาตามเวลาในประเทศไทย ในที่สุด เราก็ได้ทราบกันไปแล้วนะครับว่า iPhone รุ่นล่าสุด หรือ iPhone 5 นั้น มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านดีไซน์ หรือแม้แต่ฟังก์ชั่นต่างๆของตัวเครื่อง ทาง Apple ก็ได้มีการงัดออกมาโชว์กันอย่างเต็มที่ แต่สำหรับใครที่พลาดการรายงานสด หรือพลาดการติดตามอัพเดต ข่าวสารในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา ก็ไม่เป็นไรครับ ทีมงาน Thaimobilecenter ได้มีการรวบรวมเอา ข้อมูลทั้งหมด ที่เกี่ยวข้องกับ iPhone 5 มาไว้ให้อ่านกันแบบรวดเดียวจบ ซึ่ง iPhone 5 จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างนั้น ลองมาชมกันเลยดีกว่าครับ



 ข้อมูลเกี่ยวกับ ดีไซน์ และ วัสดุ ที่ใช้บน iPhone 5 
สำหรับ iPhone 5 นั้นมีการเปลี่ยนแปลง ทางด้าน ดีไซน์ ในหลายๆส่วน ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงของตัวเครื่องที่ดูยาวขึ้น เนื่องจากเปลี่ยนมาใช้หน้าจอแบบ Wide-Screen ขนาด 4 นิ้ว รวมถึงมีการย้ายตำแหน่ง ช่องเสียบหูฟัง และ ปรับเปลี่ยน พอร์ต เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ และชาร์จไฟให้มีขนาดเล็กลงอีกด้วย เราลองมาดูกันครับว่า แต่ละส่วนนั้น มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง


ขนาดหน้าจอ และ Resolution ของ iPhone 5 
สำหรับ ขนาดหน้าจอของ iPhone 5 นั้นจะอยู่ที่ 4 นิ้ว ซึ่งในรุ่นก่อนหน้า ทั้ง iPhone 4S และ iPhone 4 จะมีขนาดหน้าจออยู่ที่ ประมาณ 3.5 นิ้ว โดยบน iPhone 5 นั้นจะมีความละเอียดของหน้าจออยู่ที่ 1136x640 พิกเซล แอพพลิเคชั่นหลายตัวจาก Apple ได้มีการปรับปรุง ให้สามารถรองรับกับหน้าจอ 4 นิ้วได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น


วัสดุที่ใช้บน iPhone 5 
ตัวเครื่อง iPhone 5 นั้นได้มีการออกแบบ ใหม่ โดยใช้วัสดุ Anodized Aluminum แบบเดียวกันกับที่ ด้านหลังของ iPad หรือ ตัวเครื่องของ Macbook นั่นเองครับ โดยให้ความรู้สึกแข็งแรงทนทานมากขึ้นกว่าเดิม


Dock Connector มีขนาดเล็กลง ท่านใดที่เคยใช้ iPhone, iPod Touch หรือ iPad ก็คงจะคุ้นหน้าคุ้นตา กับสายชาร์จ แบบ 30-Pin เป็นอย่างดี แต่ล่าสุดใน iPhone 5 นั้น ทางแอปเปิ้ลได้มีการเปลี่ยนพอร์ต Dock Connector ให้มีขนาดเล็กลงกว่าเดิมมากพอสมควร ซึ่งขนาดจริงๆนั้น เล็กกว่า แบบก่อนหน้าถึง 70% เลยทีเดียว


ย้ายช่องต่อหูฟังไปไว้ที่ด้านล่าง นอกจากนี้ บน iPhone 5 ยังมีการย้าย ช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร จากที่เคยอยู่ด้านบน ใน iPhone 4 และ iPhone 4S ก็ถูกย้ายมาไว้ด้านล่าง ซึ่งด้านบนนั้นก็จะเหลือเพียงปุ่มสำหรับเปิด-ปิดเครื่อง (On/Off) เท่านั้น



ขนาดของตัวเครื่อง สำหรับ ขนาดของตัวเครื่อง iPhone 5 นั้น จะมีความบางเพียง 7.6 มิลลิเมตร และหนักเพียง 112 กรัม ซึ่งเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ก็ถือว่าบางกว่ากันอยูพอสมควร


เปลี่ยนไปใช้ Nano SIM หลังจากที่ Apple (แอปเปิ้ล) ได้พยายามบุกเบิก ให้ สมาร์ทโฟน ของตัวเองใช้ microSIM ล่าสุด ทาง Apple (แอปเปิ้ล) ก็พยายามที่จะนำเอา Nano SIM มาใช้ใน iPhone 5 อีกครั้ง ซึ่ง Nano SIM นั้นถือว่ามีขนาดเล็กลงจากเดิมอีกพอสมควร หรือเรียกง่ายๆ ว่า ตัดขอบพลาสติกเดิมที่เหลือจาก microSIM ทิ้งออกไปหมดนั่นเอง


สเปค และ ฮาร์ดแวร์ อีกหนึ่งเรื่องที่มีความสำคัญไม่แพ้ส่วนอื่นๆ นั่นก็คือ สเปค ของ iPhone 5 นั่นเองครับ ซึ่งสเปค ของ iPhone 5 นั้นถือว่ามีการปรับปรุงจากเดิมอยู่พอสมควร โดยเฉพาะการเปลี่ยนไปใช้ หน่วยประมวลผลแบบ Quad-Core Processor เราลองมาดูกันนะครับว่า สเปคของ iPhone 5 นั้นมีส่วนใดที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง
หน่วยประมวลผล Apple A6 หลังจากที่ เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทางแอปเปิ้ลได้ใส่ หน่วยประมวลผล Apple A5X ลงไปใน The New iPad แต่ Apple A5X นั้น ยังคงเป็นหน่วยประมวลผลแบบ Dual-Core เช่นเดียวกันกับบน iPhone 4S แต่ในด้านของหน่วยประมวลผลกราฟฟิคนั้น จะเป็น Quad-Core ซึ่งสำหรับ ใน iPhone 5 นั้น แหล่งข่าวได้คาดการณ์เอาไว้ว่า น่าจะใช้หน่วยประมวลผล Apple A6 ซึ่ง Timcook ได้ Present ว่ามีความเร้วกว่า iPhone 4s ถึง 2 เท่าครับ


หน่วยความจำ RAM 1GB สำหรับใน iPhone 4S นั้น ทางแอปเปิ้ลได้ใส่ หน่วยความจำ RAM ไว้ที่ 512 MB และปรับเพิ่มเป็น 1 GB บน The new iPad ที่เพิ่งวางจำหน่ายในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง ว่าแอปเปิ้ล น่าจะใส่ หน่วยความจำขนาด 1 GB ให้กับ iPhone 5 ด้วยเช่นกัน


ความละเอียดของกล้องบน iPhone 5 สำหรับ iPhone 5 นั้นยังคงใช้กล้อง ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ที่สามารถถ่ายวีดีโอระดับ 1080p แบบเดียวกันกับที่ใช้บน iPhone 4S ส่วนกล้องด้านหน้านั้น สามารถถ่ายวีดีโอได้ในระดับ HD หรือ 720p นั่นเองครับ


รองรับการถ่ายภาพ แบบ Panorama สำหรับ บน iPhone 5 นั้น คุณสามารถถ่ายภาพแบบ Panorama ได้จากฟังก์ชั่นของตัวเครื่องโดยตรง ซึ่งความสามารถนี้ จะใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ บน iPhone 5 และฟังก์ชั่นนี้ มาพร้อมกับ iOS 6 นั่นเองครับ


รองรับการเชื่อมต่อแบบ 4G LTE iPhone 5 นั้น รองรับการเชื่อมต่อ แบบ 4G LTE ซึ่งถือเป็นการเชื่อมต่อที่ มีความเร็ว สูงที่สุดในปัจจุบัน แต่ยังมีไม่กี่ประเทศ ที่พร้อมสำหรับการให้บริการ 4G LTE อย่างเต็มรูปแบบ


แบตเตอรี่ มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น เนื่องจากตัวเครื่องมีขนาดที่ยาวขึ้น จึงทำให้เหลือพื้นที่เพิ่มขึ้น อีกเล็กน้อย ที่จะขยายขนาดของแบตเตอรี่ให้มากขึ้น จึงทำให้ iPhone 5 นั้น มีระยะเวลาการใช้งานแบตเตอร์รี่ ได้ยาวนานขึ้นกว่าเดิมอีกพอสมควร


ชุดหูฟังแบบใหม่บน iPhone 5 อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันนั่นก็คือ ชุดหูฟัง ถูกปรับปรุงใหม่ทั้งหมด ซึ่งจุดเด่นก็คงจะอยู่ที่ ดีไซน์ที่เปลี่ยนไป รวมถึง คุณภาพของเสียงที่ถูกพัฒนาขึ้นมาจากรุ่นก่อน และการออกแบบมาให้เข้ากับ หู ของทุกคน เมื่อใส่จะรู้สึกพอดี ไม่ว่า หูของคุณจะมีขนาดเป็นอย่างไร


ไมโครโฟน 3 ตัว บนตัวเครื่อง iPhone 5 นั้นมี ไมโครโฟน อยู่บนตัวเครื่องถึง 3 ตัว ช่วยในเรื่องของความคมชัด ของเสียงระหว่างสนทนา และการใช้ Voice Command อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Siri หรือ Dictation อีกทั้งยังมีฟังก์ชั่น การตัดเสียงรบกวน สำหรับ หูฟังสนทนาอีกด้วย


ระบบปฏิบัติการ และ แอพพลิเคชั่น สำหรับบน iPhone 5 นั้นจะใช้ระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง iOS 6 ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของ ฟังชั่นต่างๆ รวมไปถึงมีการถอดแอพพลิเคชั่นบางตัวออกไปด้วย เรามาดูรายละเอียดเกี่ยวกับ iOS 6 กันเลยดีกว่า


ความสามารถที่เพิ่มขึ้นของ Siri สิริ (Siri) สามารถใช้่งาน เพิ่มเติมได้อีกหลายภาษา แต่ก็ยังคงไม่มีภาษาไทย นอกจากนี้ สิริ (Siri) เอง ยังได้ถูกเพิ่มความสามารถในการเข้าใจคำสั่งต่างๆ ได้มากขึ้นอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น การถามรอบหนัง หรือการถามข้อมูล ผลการแข่งขันต่างๆ


แอพพลิเคชั่นใหม่ Apple Map และ ถอด Google Map ออก สำหรับ Apple Map นั้นจะสามารถใช้ร่วมกับ GPS เพื่อเป็นแอพพลิเคชั่นสำหรับการนำทางแบบ Turn-By-Turn ได้ และยังสามารถดูแผนที่ แบบ 3 มิติ (3D) ได้ด้วย (เฉพาะแผนที่ในบางประเทศ ยังไม่สามารถดูได้อย่างสมบูรณ์ในประเทศไทย)


Facebook บน iOS 6 หลังจากที่ iOS 5 ที่ผ่านมา ทางแอปเปิ้ลได้จับเอา Twitter มาเป็นส่วนหนึ่งของฟังก์ชั่นบน iOS ล่าสุด ทางแอปเปิ้ลก็ได้นำเอา Facebook เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของฟังก์ชั่น บน iOS 6 เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยเช่นกัน


แอพพลิเคชั่นใหม่ Passbook แอพพลิเคชั่นที่จะช่วยอำนวยความสะดวก ในการ เช็คอิน หรือไว้สำหรับสแกน Border Pass หรือชำระเงินตามร้านค้าต่างๆ ที่รองรับ ที่เน้นในส่วนของ การใช้งาน 2D Barcode เพราะคุณสามารถรวบรวมข้อมูลต่างๆ ไว้ในที่เดียว


iOS 6 จะไม่มีแอพพลิเคชั่น Youtube ล่าสุดทาง Apple ได้มีการถอดแอพพลิเคชั่น Youtube ออกเนื่องจากเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องสัญญา ที่หมดลง แต่ผู้ใช้ยังคงสามารถชมวิดีโอ Youtube ผ่านการเข้าด้วย Browser ได้ตามปกติ


ใช้งาน Facetime ผ่านเครือข่าย 3G หลายๆ คนกำลังรอคอยว่า เมื่อไหร่ ทาง Apple จะเปิดให้ใช้งาน Facetime ผ่าน เครือข่ายโทรศัพท์มือถือได้เสียที และล่าสุด ก็สามารถทำได้แล้วบน iOS 6


 และนี่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งจาก อีกหลายฟังก์ชั่นที่เพิ่มขึ้นมาใน iOS 6 ซึ่งนอกจากจะมีการเปลี่ยนแปลงดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว ยังมีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ไม่เว้นแม้แต่แอพพลิเคชั่น Phone ที่ใช้สำหรับโทรเข้า-ออก กันเลยทีเดียว และนอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงอินเทอร์เฟส เล็กๆ น้อยๆ อีกหลายจุดด้วยเช่นกัน

ขอบพระคุณที่มาจาก

thaimobilecenter



งาน WWDC เป็นงานประจำปีของ Apple ที่จัดขึ้นในเดือน 6 ของทุกปีซึ่งครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งนึงที่น่าติดตาม (มันก็น่าติดตามทุกครั้งแหละ) เพราะหลายคนคาดหวังว่าคงจะได้เห็น iPhone 4 กันอย่างแน่นอน หลังจากมีภาพหลุดออกมาเมื่อไม่นานมานี้ทำให้เหล่าสาวก iPhone ถึงกับใจสั่นว่ามันจริงหรือหลอก!


เปิดงานมาครั้งนี้ พี่ Jobs เจ้าเดิมก็ออกมาพร้อมกล่าวความคืบหน้าของ Apple ซึ่งก็มีดังเช่น
  • บัตรเข้างานนี้ขายหมดเพียงแค่ 8 วันเท่านั้น
  • iPad เป็น magical Device ของจริง
  • App HD Native ของ iPad มีมากถึง 8,500 โปรแกรมแล้ว
  • มูลค่าของโฆษณาของ iPad ที่ขายได้ในวันแรกมีสูงกว่า Google ads 5 ปีที่ผ่านมา
  • อัตตราการโหลดหนังสือใน iBook Store มีมากถึง 5 ล้านครั้ง โดย 2.5 ล้านโหลดจาก iPad
  • HTML5 ที่เปิดใช้อย่างสมบูรณ์แล้ววันนี้
  • มี Application เพิ่มใน App Store สัปดาห์ละ 15,000 โปรแกรม
  • โปรแกรมส่วนใหญ่ 95% ใน App Store ถูก Approve ภายใน 7 วัน
ตามด้วย ....... ในที่สุดมันก็มาซะที iPhone ตัวใหม่ในนาม iPhone 4 ที่หลายๆคนเฝ้ารอ ด้วยดีไซน์ที่เรียกว่าก็อปภาพหลุดมาเป๊ะทุกกระเบียดนิ้ว บอดี้เป็นอลูมิเนียม เสาอากาศอยู่ด้านนอกทำให้มีพื้นที่ด้านในเพื่อเพิ่มขนาดแบตมากขึ้น

Spec เด็ดๆดังนี้
  • - ดีไซน์ใหม่ บอดี้สแตนเลส
  • - ไมค์ 2 ตัว 1 ตัวตัดเสียงรบกวน
  • - ความบางที่ถือว่าบางที่สุดในบรรดา Smartphone เพียง 9.3 มิลลิเมตร ซึ่งบางกว่า Galaxy S ที่มีความบาง 9.9 มิลลิเมตร
  • - หน้าจอแบบ IPS แถมด้วยความละเอียดขั้นเทพอย่าง 326 Pixels ต่อนิ้ว และความละเอียดหน้าจอ 960x640 Pixels มีอัตราส่วน 800:1 contrast ratio ซึ่งมากกว่า 3GS ถึง 4 เท่า แต่ยังคงมีหน้าจอขนาด 3.5 นิ้วเหมือนเดิม ที่พิเศษสุดก็คือหน้าจอให้ Retina Display ที่แสดงผลได้ละเอียดมาก โดยเฉพาะตัวอักษรที่ไม่แตกเลยซักนิด
  • - CPU Apple A4 เหมือน iPad ที่มีความเร็ว 1GHz เท่ากัน
  • - MicroSim
  • - กล้อง 5 ล้านพิกเซล พร้อม LED Flash และปรับปรุงการทำงานของ Sensor ดีขึ้น ซูมได้ 5 เท่า และมีกล้องหน้าใช้สำหรับ VDO Call
  • - iMovie ช่วยให้สามารถทำหนังใน iPhone อย่างง่ายด้วยการดึงภาพ, วีดีโอ, เสียงในเครื่องมาสร้างเป็นหนังได้ ซึ่งเป็นโปรแกรมขายใน App Store 4.99$ หรือประมาณ 160 บาท
  • - กล้องวีดีโอ สามารถอัดวีดีโอในระดับ HD 720p ที่ 30 เฟรมต่อวินาที สามารถแตะเพื่อ focus ได้
  • - แบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้น คุย 3G ต่อเนื่อง 7 ชม. เล่นอินเตอร์เน็ตบน 3G 6 ชม. บน Wi-Fi 10 ชม. เล่นไฟล์วีดีโอ 10 ชม. เล่นเพลง 40 ชม. Standby 300 ชม.
  • - รองรับ 3G QUADBAND HSDPA 7.2Mbps HSUPA 5.8 Mbps (850/900/1900/2100 MHz)
  • - Wi-Fi 802.11n
  • - Gyroscope ช่วยทำให้การควบคุมทิศทางบน iPhone ได้แม่นยำขึ้นไม่ว่าจะเอียงซ้ายขวา ใช้ร่วมกับ GPS และ เกมที่ใช้ Sensor ในการควบคุม
  • - App Store มีโปรแกรมมากกว่า 225,000 โปรแกรมแล้ว
  • - Apple จ่ายเงินให้ Developer ไปแล้วกว่า 1,000 ล้านเหรียญ ที่จริงความสามารถหลักๆของเจ้า iPhone 4 มีมากขึ้นถึง 100 อย่าง แต่ให้พูดหมด พี่จ็อบคงไม่ไหว


สิ่งที่เหมือนจะเป็น Highlight ในงานนี้เลยก็คือ การเปลี่ยนชื่อ iPhone OS4 เป็น iOS 4 แถมตอนประกาศทำให้หลายคนระทึกอีกเพราะเมื่ออยู่ดีๆ Jobs ก็บอกให้หยุดเล่นคอมแล้วฟังให้ดีว่า iPhone OS เปลี่ยนชื่อเป็น iOS 4 แล้ว!! กรรมนึกว่ามีเรื่องอะไร!!


หลังจากนั้นพี่ Jobs ก็ย้อนกลับมาพูดถึง iOS 4 เพิ่งเปลี่ยนชื่อไปตะกี้ ว่ามี Feature อะไรบ้างหลักๆ เหมือนที่อธิบายไปแล้วในงานที่ผ่านมา แต่ว่าคราวนี้พี่แกมาแบบเจาะลึก แถมอวดด้วยว่า Dev สามารถสร้างโปรแกรมบน iPhone ด้วย API ที่มากขึ้นถึง 1500 API ตามด้วยการโม้ถึง Multitasking, ระบบ Mail ที่รวม ทุก E-mail เข้าด้วยกัน, Folder, ความสามารถของการใช้งานร่วมกับบริษัทอย่าง Enterprise ต่อด้วยความช็อกเล็กๆด้วยการเพิ่ม Bing ลงใน Search Engine ของ Safari


สำหรับ iOS 4 จะเปิดให็อัพเดทกันในวันที่ 21 มิถุนายนนี้ฟรี แต่สำหรับเวอร์ชั่น Gold-master ก็จะปล่อยออกไปวันนี้ให้ Dev ทดลองครั้งสุดท้าย แถมโม้อีกว่าเดือนนี้จะมี iDevice รวมทั่วโลกถึง 100 ล้านเครื่องเป็นการดึงดูด DEV ด้วยคำพูดที่เรียบง่าย

ส่วน iBook ก็สามารถลงใน iPhone, iPod Touch ได้แล้วแถมด้วยความสามารถใหม่อย่างการอ่านไฟล์ PDF รวมถึงมี ฟังก์ชั่น Post-iT และ Highlight ด้วย ที่ขาดไม่ได้เลยแหล่งทำเงินมหาศาลอย่าง iAD ที่จะเปิดให้ใช้งานกันในวันที่ 1 กรกฏาคมนี้ โดย Apple เป็นผู้ขาย host เอง ซึ่งคาดว่าจะทำรายได้มากถึง 60 ล้านดอลล่าร์ ในงานนี้ Jobs ยังได้แสดงตัวอย่างของ iAD ที่ไปแปะอยู่ตาม Application ซึ่งเป็น HTML5

ปิดด้วย One More Thing ตามสไตล์ด้วยความสามารถอย่าง VDO Call ที่ Apple ใช้ชื่อโปรแกรมว่า Facetime ซึ่งแสดงการทำงานของกล้องหน้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ


ส่วนราคาของ iPhone 4 ก็มามุกเดิมโดยการลดตัวขาย 3GS เหลือเพียง 8GB เท่านั้น แล้วลดราคาเหลือ 99$ + contract 2 ปี ส่วน iPhone 4 16GB และ 32GB จำหน่ายในราคา 199$, 299$ ตามลำดับ และประเทศที่ขาย iPhone 5 ประเทศแรกแน่นอนว่าไม่มีไทย ส่วนไทยคงต้องรอเดือนกันยายนครับกับ 88 ประเทศสุดท้ายที่จะได้ขาย iPhone


Keynote ครั้งนี้มีฮาก็คือท่านศาสดา Steve Jobs เกิดมีปัญหา Wi-Fi ใช้งานไม่ได้ 2 รอบเนื่องจากคนในงานเอาคอมมาต่อ Wi-Fi Live blog กันมากเกิน จึงมีการสั่งปิด Wi-Fi กันด้วย... (ใจร้ายมาก) แต่พี่แกก็หน้าแตกไปไม่น้อย


นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว Application 3 ตัวที่ดังมาก อย่าง NetFlix, Farmville, Guitar HERO และ Apple ยังทำ Bumper (ซิลิโคน) ของ iPhone มาขายอีกด้วยในราคา 29$ หรือประมาณ 1,000 บาท สุดท้ายขอฝากคลิปของ iPhone 4 นะครับ



ที่มาข้อมูลดีๆจาก www.mxphone.com

bookmark
bookmark
bookmark
bookmark
bookmark